Invictus ชัยชนะที่ใหญ่ยิ่งจะตามมาหลังจากการให้อภัยที่ยิ่งใหญ่





      Invictus  เป็นภาพยนตร์เรื่่องราวชีวิตของ เนลสัน แมนดาลา  ประธานาธิปดีผู้ยิ่งใหญ่ของแอฟริกาใต้ ซึ่งท่านได้รับการกล่าวขวัญจากทั่วโลกว่า เป็นบุคคลที่มีภาวะผู้นำอย่างเต็มเปี่ยม โดยเฉพาะบทบาทสำคัญที่สำคัญของ ภาวะผู้นำ คือการให้อภัย ซึ่งจะหาผู้นำที่ทำอย่างท่านได้นั้นยากมากๆ

     ผมได้นำบทความเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้มาให้ทุกคนได้ ศึกษา ผมรับรองได้ว่าหากคุณอ่านจบและนำภาพยนตร์เรื่องนี้มาดู และปฏิบัติตามแนวทางของ เนลสัน แมนดาลา ที่แสดงไว้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ท่านจะเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จ อย่างยั่งยืนอย่างแน่นอน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา มาเริ่มกันเลย





Invictus ภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ดที่เล่าเรื่องราวของผู้นำผิวสีเนลสัน แมนเดลล่า ที่พลิกประเทศจากความเกลียดชังมาสู่ความรักต่อกันโดยมี รักบี้ เป็นเครื่องมือที่นำไปสู่เหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์ของมนุษย์ โดยมี คลิ้นท์ อีสต์วู้ด ที่กลายเป็นผู้สร้างหนังที่มิอขึ้นแห่งฮอลลีวูดไปแล้ว และการเลือกเสี้ยวหนึ่งของประวัติศาสตร์และมีฉากหลังของเกมกีฬายิ่งทำให้เห็นว่าปู่คลิ้นท์มีความหลากหลายในการสร้างหนังมากขึ้น และการทำให้ มอร์แกน ฟรีแมน ที่มีบุคลิกแตกต่างจากเนลสัน แมนเดลล่าอดีตผู้นำที่มีบทบาทกับการสร้างประวัติสาสตร์ครั้งนี้ ให้ผู้ชมเชื่อได้สนิทใจว่าที่ผู้ชมกำลังชมอยู่นั้นคือเนลสัน แมนเดลล่า ก็ไม่แปลกที่ดารานำหลักของเรื่องถูกเข้าเสนอชื่อรางวัลออสก้าร์ทั้ง รางวัล ดารานำชาย(มอร์แกน ฟรีแมน) และดาราสมทบ (แมทท์ เดมอน) รวมทั้งยังถูกเสนอชื่อในอีกหลายรางวัลในหลายๆเวที



ภาพยนตร์เริ่มต้นเมื่อ ฟากฝั่งถนนในประเทศแอฟริกาใต้ ฝั่งหนึ่งเป็นเด็กผิวสีที่ยากจนกำลังเล่นฟุตบอลอย่างสนุกสนาน ในขณะที่ฝั่งตรงกันข้ามเป็นการฝึกซ้อมของนักกีฬาผิวขาวในกีฬาที่เรียกว่า รักบี้ และเมื่อขบวนรถผ่านมาทั้งสองฟากฝั่งก็กรูกันมาติดริมถนนเพื่อดูคนที่อยู่ในขบวนรถ ฟากฝั่งเด็กชาวผิวสีต่างโห่ร้องด้วยความยินดีแต่อีกฝั่งกลับมองด้วยสายตาที่เกลียดชัง แถมยังสบถคำพูดออกมาเป็นเชิงว่าประเทศกำลังจะเข้าสู่ความเลวร้ายเมื่อกำลังจะปล่อยคนที่ถูกคุมขังในรถให้เป็นอิสระและเขาคนนั้นก็คือ เนลสัน แมนเดลล่า เพียงภาพเริ่มต้นของเรื่องราวก็อธิบายภาพประวัติศาสตร์ของการเกลียดชังในประเทศเป็นอย่างดีระหว่างคนสองกลุ่ม และการมาของเนลสัน แมนเดลล่าที่จุดเริ่มเรื่องก็อาจจะเป็นการบอกว่าเส้นทางของเนลสัน แมนเดลล่าที่อยู่กึ่งกลางของคนทั้งสองกลุ่มและเป็นเขาผู้นี้ที่จะสมานรอยร้าวเหมือนที่ทุกคนของสองฟากฝั่งหันมามองรถที่เขานั่งอยู่ภายในนั่งผ่าน





 เนลสัน แมนเดลล่า (มอร์แกน ฟรีแมน)หลังจากถูกปล่อยจากคุกที่คุมขังบนเกาะรอบเบนเป็นเวลานานถึง 27 ปี กลายมาเป็นศูนย์รวมของชาวผิวดำและเมื่อปี มีการเลือกตั้งแบบอิสระของคนทั้งประเทศ คะแนนเสียงทั้งหมดก็ไปสู่เนลสัน แมนเดลล่า จนได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีด้วยคะแนนอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งในครั้งนั้น แต่เมื่อเนลสัน แมนเดลล่า เริ่มงานของเขาสิ่งที่เขาทำต่างสร้างความฉงนไม่เพียงแต่ฐานเสียงของเขาที่เป็นคนดำทั้งหมด แต่ยังหมายรวมถึงคนผิวขาวที่อยู่ตรงข้ามกับเขา เริ่มตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งโดยเลือกทีมงานชาวผิวขาวเป็นอารักขาส่วนตัวร่วมทีมกับคนดำแทนที่จะเป็นคนผิวดำทั้งหมด และที่สำคัญทุกอย่างก้าวของเขากับให้ความสำคัญกับสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ที่คนผิวดำกำหนดให้สิ่งเหล่านั้นเป็นตัวแทนของผิวขาวไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น กีฬารักบี้ ทีมชาติสปริงบอกซ์(สมญานามของทีมกีฬาของประเทศแอฟริกาใต้ซึ่งหมายรวมถึงทีมชาติรักบี้) สีเขียวทอง และการเข้าสนามเพื่อชมทีมสปริงบ็อกซ์แข่งท่ามกลางผู้ชมชาวผิวขาว และเป้าหมายของเนลสัน แมนเดลล่าที่สำคัญก็คือทำอย่างไรให้ทีมสปริงบ็อกซ์ ที่เป็นม้ามืดนอกสายตาในการแข่งขันรักบี้ชิงแชมป์โลกที่ประเทศแอฟริกาใต้จะเป็นเจ้าภาพเอง(ในปี 1995) ให้กลายมาเป็นแชมป์โลกให้ได้ โดยมีผลที่จะตามมาหลังจากนั้นเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของคนทั้งประเทศหรืออาจจะทั้งโลกเฝ้ารออยู่





ภาพยนตร์ใช้รักบี้เป้นทั้งสัญลักษณ์และตัวเชื่อมเรื่องราวต่างๆทั้งหมดของเรื่องเริ่มตั้งแต่ รักฐี้เป็นกีฬาที่แบ่งชนชั้นของคนผิวขาวกับผิวดำ มีบทสนทนาของคนขาวกับคนดำในเรื่องที่บอกถึงความแตกต่างระหว่างฟุตบอลที่นผิวดำชอบกับรักบี้ที่คนผิวขาวเล่นเป็นปกติในแอฟริกาใต้ว่า ฟุตบอลเป็นกีฬาของนักเลงที่เวลาเล่นจะเล่นแบบสุภาพบุรุษ แต่รักบี้เป็นกีฬาของสุภาพบุรุษที่ตอนแข่งจะเล่นแบบนักเลง เป็นคำเปรียบเปรยที่ประชดประชันถึงคนผวดำเชิงดูหมิ่นไม่น้อยที่คล้ายจะบอกว่าบรรดาคนผิวดำที่พยายามจะยกระดับตัวเอง หรือแม้แต่คนผิวดำเองก็ทำทุกอย่างที่จะไม่เชียร์รักบี้ทีมชาติตัวเองเพื่อแสดงการเป็นศัตรูกับคนผิวขาวอย่างชัดเจน ดังคำพูดของเนลสัน แมนเดลล่าที่แม้แต่ตะวเขาเองเมื่อคร้งหนึ่งที่เขาถูกคุมขังอยู่เขาก็ยังเชียร์ชาติอื่นที่แข่งกับทีมชาติแอฟริกาใต้ ในขณะที่ภาพยนตร์แม้จะไม่ได้ให้ความสำคัญกับความเหลื่อมล้ำต่ำสูงของคนทั้งสองกลุ่มแต่ก็สอดแทรกในมุมเล็กๆอยู่บ้างอย่างเช่นที่คนรับใช้ในบ้านของคนขาวที่บ่นเรื่องสวัสดิการที่ค่อนข้างมีปัญหาหรือเมื่อตอนนักรักบี้ทีมชาติต้องออกไปตามชนบทเพื่อไปฝึกสอนเด็กๆผิวดำให้เล่นรักบี้ก็พยายามให้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ที่แสนจะแร้นแค้นของคนผิวดำขนาดไหน และนั่นก็เป็นกุศโลบายที่สำคัญที่เนลสัน แมนเดลล่า พยายามใช้รักบี้เป็นตัวเชื่อมให้คนผิวขาวเข้าใจคนผิวดำและขณะเดียวกันก็ให้คนผิวดำหันมาสนับสนุนคนผิวขาวและเพื่อเป้าหมายการเป็นแชมป์โลกรักบี้ของทีมชาติแอฟริกาใต้โดยมีความเป็นหนึ่งเดียวของชาติคือเป้าหมายที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง




ฟรังซัวร์ พีนาร์ (แมทท์ เดมอน) คืออีกหนึ่งตัวละครหลักในภาพยนตร์เรื่อง Invictus เนื่องจากการเป็นกัปตันทีมชาติรักบี้ของสปริงบ็อกซ์ และเป็นตัวแปรที่สำคัญเป็นผู้ที่เนลสัน แมนเดลล่า สามารถนำแนวคิดการสมานฉันท์ของคนทั้งชาติผ่านกีฬารักบี้จนประสบความสำเร็จ และที่สำคัญก็คือมันสะท้อนให้เห็นบทบาทของผู้นำที่ดีก็คือการเป็นแรงบันดาลใจมากกว่าการเข้าไปแทรกแซงการทำงาน และทั้งเนลสัน แมนเดลล่าและฟรังซัวร์ พีนาร์ก็ต่างรับผิดชอบในงานตามเป้าหมายของตัวเองได้เป็นอย่างดีแม้เป้าหมายของทั้งคู่ก็คือเป้าหมายเดียวกัน และสิ่งที่ฟรังซัวร์ พีนาร์ตั้งคำถามอะไรคือแรงบันดาลใจให้กับเนลสัน แมนเดลล่า บุรุษผู้ถูกจองจำในห้องขังแคบๆโดยคนผิวขาวเป็นเวลามากถึง27 ปี แต่เมื่อเขาออกมาจากสถานที่แห่งนั้นกลับไม่มีความโกรธเกลียดต่อคนผิวขาวเลยแต่ทำสิ่งตรงกันข้ามก็คือสนับสนุนคนผิวขาวในทุกๆเรื่องโดยเฉพาะเรื่องกีฬา รักบี้ ที่มีความเด่นชัดมากที่เวลานั้นคือสัญลักษณ์ของคนผิวขาว และสิ่งที่เป็นคำตอบมันอยู่ในกระดาษชิ้นเล็กๆที่มีข้อความบางอย่างซึ่งเนลสัน แมนเดลล่ามอบให้แก่เขาและมันเป็นสิ่งที่เนลสัน แมนเดลล่า นำมันติดตัวเข้าไปในที่คุมขังบนเกาะรอบพร้อมกับเขานั้นเอง


Invictus ชื่อเรื่องภาพยนตร์นำมาจากชื่อบทกวีในชื่อเดียวกัน ของกวีชาวอังกฤษที่ชื่อ William Ernest Henley ที่ประพันธ์ไว้ตั้งแต่ปี 1875 ในขณะที่เขาป่วยอยู่ในโรงพยาบาล แม้เขาจะถูกตัดขาไปหนึ่งข้างจากโรคร้ายแต่ด้วยกำลังใจที่มีดั่งปรากฏในบทกวีของเขาทำให้เขาเอาชนะชะตากรรมและดำรงชีวิตอยู่กับความสำเร็จในการสอบเป็นนักศึกษาของอ็อกฟอร์ดได้ Invictus เป็นภาษาละตินที่แปลว่า unconquered หรือ ไร้พ่าย” แม้ว่าเป็นบทกวีที่ให้แรงบันดาลใจแต่ก็ขึ้นอยู่กับการตีความและการนำไปใช้ เนลสัน แมนเดลล่า เลือกที่ไม่โทษต่อสิ่งใดๆที่ทำให้เขาถูกคุมขังไม่ว่าจะเป็นคนผิวขาวหรือสิ่งอื่นๆ แต่หัวใจและจิตวิญญาณของเขาต่างหากที่กำลังถูกทดสอบว่าจะ ไร้พ่าย หรือไม่ และหนทางที่เขาและคนทั้งประเทศจะได้รับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ก็คือ การให้อภัย เนลสัน แมนเดลล่า เลือกที่จะให้อภัยและก็นำพาคนทั้งประเทศให้อภัยกัน คนผิวขาวหวาดกลัวคนผิวดำในการแก้แค้น คนผิวดำโกรธแค้นคนผิวขาวที่ถูกกดขี่ มีเพียงการให้อภัยกันเท่านั้นที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้สูญหายไป โดยใช้กีฬารักบี้ และเหตุการณ์ที่ประจวบเหมาะคือช่วงเวลาของการแข่งขันชิงแชมป์โลกเป็นแรงบันดาลใจว่าทีมนอกสายตาอย่างสปริงบ็อกซ์จะคว่ำทั้งทีมวัลลาบีและออลแบล็คตัวเต็งของการแข่งขันจนเป็นแชมป์โลกได้ และกุศโลบายของการร่วมแรงเชียร์ของคนผิวขาวและดำในความเป็นชาติเดียวกันก็นำไปสู่การรวมเป็นหนึ่งเดียวสำเร็จจนทุกวันนี้จากชาติที่มีความขัดแย้งที่มีความรุนแรงในประวัติศาสตร์



อย่างที่บอกของดีต้องอยู่ที่การตีความ เนลสัน แมนเดลล่า เลือกที่จะไม่ยอมแพ้แต่แตกต่างในความหมายของการที่เลือกที่จะชนะโดยไม่เลือกวิธี การให้อภัยเหมือนในบทกวีที่ไม่ว่าชะตาชัวิตจะตกอับแค่ไหนก็ไม่ได้โทษสิ่งใดแถมยังเลือกที่จะขอบคุณเทพที่ประทานหัวใจที่กล้าแกร่งจนไม่ยอมแพ้(ทั้งที่บางคนหรือหลายคนเลือกที่จะโทษเทพเทวดาในการที่ให้พวกเขามีชะตาชีวิตไม่ดี) และนำพาเนลสัน แมนเดลล่าและประเทศแอฟริกาให้ผ่านพ้นวิกฤติที่ใหญ่เกิดกว่าจะคาดคิดได้จนปัจจุบันกลายเป็นประเทศแรกของแอฟริกาที่สามารถจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกได้ แต่อดีตผู้นำบางคนเลือกที่จะยกตนเปรียบเทียบเนลสัน แมนเดลล่าแล้วเลือกที่จะชนะแบบไม่สนวิธีการที่ได้มา แถมยังโทษทุกฝ่ายที่ไม่เป็นคุณแก่ตัวไปหมดไม่ว่าจะพรรคการเมือง ศาลหรือบุคคลอื่นๆอีกมากมาย มันก็สะท้อนให้เห็นแล้วว่าข้อความเดียวกัน เรื่องเดียวกัน แต่การตีความที่แตกต่างกันนำไปสู่ผลลัพท์ที่แตกต่างกันเหมือนฟ้ากับเหว และเนลสัน แมนเดลล่า ก็แสดงให้เห็นใน Invictus แล้วว่า 


ชัยชนะที่ใหญ่ยิ่งจะตามมาหลังจากการให้อภัยที่ยิ่งใหญ่

ขอขอบคุณบทความดีๆ นี้จาก
OK Nation Blog ด้วยครับ



แด่ภาวะผู้นำที่รู้จักการให้อภัยของคุณ


ธวัชชัย สุวรรณสาร
ที่ปรึกษาภาวะผู้นำ


    

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น