ผู้นำต้องรับผิดชอบต่อตัวเอง 100% เลิกกล่าวโทษผู้อื่น


" ภาวะผู้นำ คือการรับผิดชอบต่อตัวเอง 100 % "

     ผมได้บอกกับคุณ และเน้นย้ำักับคุณแล้วว่า ผู้นำต้องมีความรับผิดชอบที่่สูงมากทั้งต่อผู้อื่น และต่อตนเอง 

     แต่น่าเสียดายที่ผู้นำ ส่วนมากเกือบ 90% น้อยมากที่จะรับผิดชอบต่อตัวเอง 100% เต็ม โดยส่วนมากเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ผลงาน หรือการปฏิบัติงานของตนไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ มักจะกล่าวโทษผู้ือื่นโดยเฉพาะทีมงาน และลูกน้องของตนเอง

     ซึ่งการกระทำดังกล่าว เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องและไม่สอดคล้องกับ " ภาวะผู้นำ "

     ต่อไปนี้คือคำพูดของผู้นำที่ขาดการรับผิดชอบต่อตนเอง และผู้ือื่น ซึ่งผมไม่แนะนำใหุ้คุณปฏิบัติหรือพูดออกไป

Invictus ชัยชนะที่ใหญ่ยิ่งจะตามมาหลังจากการให้อภัยที่ยิ่งใหญ่





      Invictus  เป็นภาพยนตร์เรื่่องราวชีวิตของ เนลสัน แมนดาลา  ประธานาธิปดีผู้ยิ่งใหญ่ของแอฟริกาใต้ ซึ่งท่านได้รับการกล่าวขวัญจากทั่วโลกว่า เป็นบุคคลที่มีภาวะผู้นำอย่างเต็มเปี่ยม โดยเฉพาะบทบาทสำคัญที่สำคัญของ ภาวะผู้นำ คือการให้อภัย ซึ่งจะหาผู้นำที่ทำอย่างท่านได้นั้นยากมากๆ

     ผมได้นำบทความเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้มาให้ทุกคนได้ ศึกษา ผมรับรองได้ว่าหากคุณอ่านจบและนำภาพยนตร์เรื่องนี้มาดู และปฏิบัติตามแนวทางของ เนลสัน แมนดาลา ที่แสดงไว้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ท่านจะเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จ อย่างยั่งยืนอย่างแน่นอน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา มาเริ่มกันเลย

ผู้นำควรฟัง มากกว่าพูด

      ภาวะผู้นำที่คือภาวะที่มีการรับฟังมากกว่าการพูดออกไป ซึ่งจะส่งผลดีต่อคุณในการได้รับข้อคิดเห็น และแนวทางคิด แนวทางปฏิบัติ ที่หลายหลายจากทีมงานของคุณ

     โดยอาจจะกล่าวได้ว่าผู้นำที่ประสบความสำเร็จส่วนมากในโลกใบนี้ ล้วนแต่มีบุคลิกที่เน้นการรับ   ฟังมากกว่าการเสนอ หรือพูดแสดงแนวทางของตนเองแต่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งเป็นลักษณะของภาวะผู้นำที่เน้นทีมงาน อย่างแท้จริง

     ผู้นำ ที่มีลักษณะของการแก้ไขปัญหา ในการเสนอแนวคิดของตนเป็นใหญ่ โดยไม่ได้รับฟังความคิดของทีมงาน เป็นการแสดงให้เห็นว่า ผู้นำผู้นั้นเป็นผู้นำที่ถือในตำแหน่งหน้าที่ของตนเอง  เพราะส่วนมาก

สละเวลางานส่วนตัว เพื่อผู้อื่นได้อะไรมากกว่าที่คิด


     วันนี้ผมไ้ด้ทำสิ่งบางอย่าง ซึ่งผมไม่รู้เลยว่่ามันจะสร้างความประทับใจให้ผมได้มากเพียงนี้

     ซึ่่งการกระทำวันนี้ของผม และผู้นำในองค์กรได้กระทำก็คือ การเยี่ยมเยียนพนักงานที่ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล ซึ่งเขาต้องถูกตัดขา เนื่องจากเป็นแผลบริเวณใต้ฝ่าเท้า แต่เนื่องจากเขาเป็นเบาหวาน จึงทำให้แผลลุกลาม จนหมอต้องตัดสินใจตัดขาของเขาทิ้งเพื่อป้องกันการลุกลาม

    โดยวันนี้ผมนั้นมีงานที่ค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นช่วงปลายเดือนต้องมีการเคลียร์งานของเดือนนี้ให้จบ รวมถึงการทำจ่ายเงินเดือนของบรรดา พนักงานของบริษัท คุณคงทราบว่าบริษัทเอกชนช่วงปลายเดือนนั้นมันยุ่งมากเพียงใด

     พบได้ทราบข่าวว่าพนักงานคนดังกล่าวที่ผมกล่าวไปก่อนหน้านี้ถูกตัดขา ซึ่งพนักงานต้องการกำลังใจเป็นอย่างมาก ทำให้ผมต้องตัดสินใจระหว่าง 1.การไปเยี่ยมพนักงาน และ 2. เคลียร์งานของตนเองต่อไปให้เสร็จ

พรหมวิหาร4 หลักธรรมสำคัญสุดแห่ง ภาวะผู้นำ

      คงปฏิเสธไม่ได้ว่า หลักธรรมะ กับภาวะผู้นำนั้น มีความสอดคล้องกันอย่างมหัศจรรย์เลยทีเดียว ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ประหลาดใจว่า พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงตรัสรู้ด้านหลักธรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ภาวะผู้นำ และทางแห่งความสุขได้ อีกทั้งมีผู้นำหลักธรรมคำสอนของท่านไปปฏิบัติ โดยเฉพาะผู้นำหลายๆ ท่านได้นำไปใช้เป็นหลักในการบริหาร การเป็นผู้นำจนประสบความสำเร็จมานักต่อนักแล้ว


     หนึ่งในหลักธรรม ที่มีความสำคัญ และสอดคล้องกับ ภาวะผู้นำมากที่สุด จากหลายๆ หลักธรรม และเป็นหลักธรรมที่ผู้นำควรจะศึกษา และยึดถือเป็นอันดับแรกสุดก็คือ หลักแห่ง " พรหมวิหาร 4 "

      หลักแห่งพรหมวิหาร 4 ได้รับการพิสูจน์จากผู้เชี่ยวชาญทางด้าน ภาวะผู้นำ หลายๆ ท่านแล้วว่าเป็นหลักธรรมที่จะนำผู้นำ ไปสู่ความสำเร็จสูงสุด ซึ่งหนังสือที่ผู้เชี่ยวชาญด้าน ภาวะผู้นำ ระดับโลกเขียนขึ้นหากอ่านดูแล้ว ไม่พ้นหลักแห่งพรหมวิหาร 4 เกี่ยวข้องด้วยทุกเล่ม

      ผมจึงได้นำหลักแห่งพรหมวิหาร 4 ในพระพุทธศาสนา มาอธิบายให้ทุกท่านได้ทราบ ซึ่งในบทความนี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะเผยแพร่ ศาสนา แต่อย่างใด แต่ผมรับประกันได้ว่า ทุกคน หรือผู้นำบนโลกใบนี้ทุกคน ทุกชนชั้น ทุกศาสนา สามารถนำหลักธรรมนี้ไปปฏิบัติได้อย่างเห็นผล

ภาวะผู้นำ คือการให้โอกาสคน

" ภาวะผู้นำ คือการให้โอกาสในทุกๆเวลาที่คุณมี "

     โอกาส คือสิ่งที่ทุกคนต้องการ ไม่ว่าจะเป็นโอกาสทางด้านงาน ด้านตำแหน่งหน้าที่ โอกาสในการโอนย้ายเพื่อความก้าวหน้า โอกาสเสนอผลงาน เป็นต้น แต่ใครล่ะที่จะหยิบยื่นโอกาสเหล่านั้นให้

     โอกาส คงไม่ได้หล่นมาจากฟากฟ้า แต่โอกาสเป็นสิ่งที่คนเราสร้างขึ้นมาโดยบุคคล และบุคคลที่สรรค์สร้างโอกาสบ่อยครั้ง มากที่สุดไม่ว่าจะต่อตนเอง หรือผู้อื่นนั่นก็คือ ผู้นำ นั่นเอง

     ผู้นำ ที่มีภาวะผู้นำ มักจะคอยหยิบยื่นโอกาสที่ดี ในการแสดงผลงานให้กับทีมงานอย่างสม่ำเสมอ สังเกตได้ว่าหากองค์กรไหนที่มุ่งสร้างคนด้วยการให้โอกาสที่ดีแก่พนักงาน องค์กรนั้นจะเต็มไปด้วยพนักงานที่มีความกระตือรือร้น เพราะเขาแน่ใจได้ว่าจะมีโอกาสมาสู่ ผู้ที่ทุ่มเทในการทำงานเสมอ

ภาวะผู้นำที่ควรเรียนรู้จาก ทงอี ตอนที่ 1


     เมื่อวานนี้ ผมได้ดูหนังเรื่อง " ทงอี " โดยได้ศึกษาบทบาทของ ทงอี นางเอกในเรื่อง ที่เขาสามารถใต่ระดับทางสังคมของเกาหลี จากสังคมของชนชั้นทาส หรือที่เรียกว่าชนชั้นต่ำ จนกระทั่งเป็นพระสนมในวังหลวงได้    ซึ่งการก้าวมาของ ทงอี ในเรื่องไม่ได้มาจากโชคชะตาชีวิต ที่กำหนดให้เป็นพระสนม  แต่มาจากความคิดความเป็นผู้นำของนางเอก ซึ่งหากเรานำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันของเรา ผมว่าจะสามารถพัฒนาความเป็นผู้นำของเราได้   ผมเห็นมีประโยชนกับทุกท่าน จึงนำเอาบทบาทของ " ภาวะผู้นำ " ที่ทงอี มาอธิบายเพื่อเป็นประโยชน์กับทุกคนครับ
 
     1.ยิ้มแย้มตลอดเวลา ไม่ว่าจะพบอุปสรรคหรือคนแบบใด
 
        หากคุณดูหน้งเรื่อง ทงอี แล้วสิ่งหนึ่งที่คุณจะเห็นได้จากนางเอกคือ " ยิ้มแย้ม และยิ้มตลอดเวลา " ซึ่งถือเป็นปัจจัย แรกสุดของผู้นำหากคุณต้องการเป็นผู้นำ ที่มีภาวะผู้นำที่แท้จริง คุณต้องยิ้มด้วยความจริงใจให้ได้ก่อน

กัปตัน D.Michael Abrashoff ภาวะผู้นำแบบติดดิน


กัปตันเรือแห่งกองทัพเรือ สหรัฐที่มีชื่อว่า

D. Michael Abrashoff

  เป็นตัวอย่างของผู้นำที่มีภาวะผู้นำ ซึ่งเขาได้รับการยกย่องว่าเป็น ผู้นำที่มีภาวะผู้นำแบบ ติดดิน  ภาวะผู้นำของเขาเป็นภาวะผู้นำที่เรียบง่าย นึกถึงจิตใจผู้อื่น  ซึ่งคุณสามารถนำมาเป็นกรณีศึกษาเพื่อนำมาพัฒนา " ภาวะผู้นำ " ของคุณ  หรือ สามารถนำมาปรับใช้ได้ ในธุรกิจ การทำธุรกิจได้

   ความเป็นกัปตันกองทัพเรือสหรัฐ คุณอาจจะนึกถึงภาพความเข้มงวด จริงจัง หน้าตาต้องแสดงถึงความมีอำนาจ  แต่กัปตัน D. Michael Abrashoff  มีท่าทีที่เป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใส กระตือรือร้นตลอดเวลา จนสามารถครองใจ ลูกเรือทั้งหมดได้ เรามาเริ่มศึกษาวิถีแห่ง "ภาวะผู้นำของเขาได้แล้วครับ

เมื่อมอบหมายงานหรือตำแหน่งให้ทีมงานจงเชื่อใจเขา


ความ " ไว้วางใจ " ที่มีต่อทีมงาน หรือลูกน้องของคุณเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ อันดับต้นๆ หากคุณต้องการมี " ภาวะผู้นำ "

     คุณเคยไหม หากผู้บังคับบัญชาของคุณได้ปรับตำแหน่ง หรือมอบหมายงานที่สำคัญมากๆ ให้คุณแต่ทำอย่างไร เขาก็ไม่พอใจ สอบถามความคืบหน้าอยู่ตลอดเวลา   พอเราชี้แจงเหตุผลว่าทำไมถึงทำงานเช่นนั้น ก็กลับถูกตำหนิ ถูกว่า ว่า ทำไมต้องการอย่างนั้นทำไมต้องทำอย่างนี้

      แล้วสุดท้ายคุณก็รู้สึกว่า  " ในเมื่อเราทำอะไรไม่ถูกใจ แ้ล้วมอบหมายงานให้เราทำไมเนี่ย "  

      พฤติกรรมของผู้นำนี้เอง ที่เรียกว่า ไม่มีความไว้วางใจ  ซึ่งเกิดจากการที่ผู้นำดังกล่าว เห็นความสำคัญของงานที่มอบหมายให้มากจนเกินใจ โดยคิดว่าเมื่อมอบหมายให้ีทีมงาน หรือลูกน้องคนนี้แล้วน่าจะทำได้ดีกว่านี้   ซึ่งผู้นำได้นำเอามาตรฐานของตนเองมากำหนดให้กับทีมงานหรือลูกน้องที่ปรับตำแหน่งให้ หรือมอบหมายชิ้นงานสำคัญให้  โดยเนื้องานที่ออกมาต้องตรงกับความต้องการของตนเอง

      และนั้น  " เป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรง ที่ไม่ควรมีอยู่ในภาวะผู้นำ "      

      เพราะอะไรน่ะหรือ?

พฤติกรรมของผู้นำ ที่ยึดมั่นในตำแหน่งหน้าที่ ตอนที่ 3


>>>>>>> ติดตามต่อกันเลยกับตอนสุดท้าย

   3.พวกจิตใจเหมอลอยในการทำงาน

      คือลักษณะการทำงานของผู้นำ และพนักงานที่มาทำงานแต่ไมได้นำจิตใจในการทุ่มเทในงาน และความกระตือรือร้นมาด้วย มุ่งแต่ทำงานเพื่อจะให้ได้รับเงินเดือนเท่านั้น

     ผู้นำที่มีสภาวะแบบนี้ ภาวะผู้ำนำได้สลายไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งยังจะก่อให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ ติดต่อไปสู่พนักงาน ลูกน้อง หรือทีมงานของผู้นำคนนั้นได้ เนื่องจากว่าผู้นำไปได้ให้ความสนใจ พนักงานและทีมงานเท่าที่ควร แม้ทีมงานทำอะไรผิดพลาด ก็ไม่หาทางแก้ไข หรือตักเตือนจนเป็นความเคยชิน ซ้ำ ๆ ซาก ๆ จนทำให้ทีมงานเกิดความเบื่อหน่าย ขาดความกระตือรือร้นในการทำงาน

 
      ทัศนคติแบบนี้ เกิดกับผู้นำที่ยึดมั่นในตำแหน่งหน้าที่เท่านั้น ตามที่ผมบอกไปแล้วว่าผู้นำที่ยึดในตำแหน่งหน้าที่ ยึดแต่เพียงว่า " ตำแหน่งผู้นำที่ตนมีคือสิ่งที่ นำมาซึ่งภาวะผู้นำ เท่านั้น "

      ทัศนคติลักษณะนี้ถือว่าเป็นทัศนคติที่สร้างความเสียหายต่อองค์กร  และทำให้บุคคลากรในองค์กรไม่มีวันที่จะเข้าใกล้ "ภาวะผู้นำ" ที่แท้จริงได้

พฤติกรรมเสื่อมของผู้นำที่ยึดในตำแหน่งหน้าที่ ตอนที่ 2


>>>>>>>>มาต่อกันเลยครับกับตอนที่ 2

2. บุคคลพวกที่ชอบดูนาฬิกา

         ลูกน้อง หรือพนักงานที่ทำงานร่วมกับ ผู้นำที่ยึดในตำแหน่งหน้าที่การงาน จะชื่นชอบนาฬิกาเป็นที่สุด กว่าสิ่งอื่นใด

      พนักงานจะจดจ่ออยู่กับว่า ณ ตอนนี้ทำงานมาได้กี่โมงแล้ว  และเมื่อไหร่จะถึงช่วงพีค ของวันคือช่วงเวลาพักเที่ยง และเลิกงาน  คุณเองก็เคยเป็นใช่หรือไม่ แล้วคุณเคยหาคำตอบให้กับตัวเองหรือไม่ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

      เคยสังเกตุหรือไม่ว่า ก่อนถึงเวลาพีคของวันเช่นพักเที่ยง หรือใกล้เวลาเลิกงานเราจะมีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษ ไม่ใช่กระตือรือร้นในการทำงานน่ะครับ แต่เป็นการกระตือรือร้นในการเตรียมตัวเลิกทำงาน

พฤติกรรมเสื่อมของผู้นำที่ยึดในตำแหน่งหน้าที่ ตอนที่1


" ผู้นำที่ยึดในตำแหน่งหน้าที่มากเกินไป "

      ผู้นำโดยทั่วไปตกหลุมพลางของภาวะ ผู้นำอย่างจัง คิดแล้วน่าใจหายมีผู้นำเกือบ 90% ที่คิดว่าภาวะผู้นำคือการที่ตนมีตำแหน่งหน้าที่การงานในระดับบริหารซึ่งเป็นความคิดที่ล้มเหลวโดยแท้

     ผมได้บอกแล้วว่าภาวะผู้นำ ไม่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งหน้าที่การงาน หรือที่เรียกว่า " หัวโขน " ที่สวมอยู่ภายนอก แต่มันคือสิ่งที่อยู่ภายในและแสดงออกมาอย่างจริงใจ ไม่เสแสร้ง

     ผู้นำที่ยึดในตำแหน่งหน้าที่หรือหัวโขนนั้นถือว่าเป็นผู้นำที่ล้มเหลว  อ่อนแอ ไม่มีประสิทธิภาพที่สุดเนื่องจากว่าผู้นำนี้คิดว่า ตำแหน่งหน้าที่การงานที่ตนมีอยู่นั้นจะนำมาซึ่ง ภาวะผู้นำ ให้เองโดยที่ตนเอง

ภาวะผู้นำคือการพัฒนาตนเองอย่างไม่สิ้นสุด

    " ผู้ที่หยุดเรียนรู้และพัฒนาตนเองคือผู้ที่ตายไปแล้ว "

      เป็นประโยคที่ถูกต้องที่สุด เมื่่อคนเราหยุดเรียนรู้ เท่ากับหยุดพัฒนาตนเองก็ไม่ต่างไปจาก ต้นไม้ที่ไม่พยายามหยั่งรากให้ลึกกว่าเดิมเพื่่อหาสารอาหารจากดิน จนทำให้ต้นไม้ไม่เติบโต  และแห้งตายไปอย่างช้า

      เปรียบเช่นเดียวกับภาวะผู้นำ ของผู้นำ หากหยุดการพัฒนาตนเองก็ไม่อาจยกระดับตนเองให้ไปสู่จุดสูงสุดได้ หรือไม่ก็สูญเสียความเป็นผู้นำและสิ่งที่ตนเองได้รับอย่างไม่มีวันหวนกลับ

     ผู้นำบางคน มุ่งในพัฒนาคนอื่นให้มีคุณภาพอย่างที่ตนต้องการ โดยไม่ได้หันกลับมาพิจารณาตนเองว่า " ตัวผู้นำเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายหยุดการเรียนรู้และัพัฒนาตนเอง "

การเป็นผู้นำไม่ใช่การอยู่อย่างโดดเดี่ยว


 " ยิ่งก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำระดับสูง เพื่อนยิ่งน้อยลง "

     เป็นประโยค ที่คุณอาจจะได้รับฟัง บ่อยครั้งและอาจถือเป็นความเชื่อของผู้นำเกือบ 90% คิดกันจนต้องทำตัวห่างเหินจาก ทีมงาน เพื่อนร่วมงาน เพราะกลัวจะเสียการปกครอง

     ผมจะบอกความจริงที่่สำคัญกับคุณไว้นั่นก็คือ " หากคุณเป็นผู้ันำคุณไม่จำเป็นต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว " หากคุณคิดว่าการทำตัวเองห่างจากทีมงาน เพื่อนร่วมงาน แล้วจะทำให้เสียการปกครองนั่นเป็นความคิดที่จะนำคุณให้ถอยห่่างจากคำว่า " ภาวะผู้นำ "

     คุณแค่ทำตัวแบบที่คุณควรจะเป็น หากพบทีมงานเดือนร้อน หรือไม่สบายใจคุณก็สามารถเข้าไปเพื่อให้กำลังใจเขา ช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่ ไม่ต้องสร้างกำแพงที่ปิดตัวเอง หากคุณทำตัวห่างเหินนั่นแสดงว่าคุณเป็นผู้นำที่คำนึงถึงตำแหน่งงาน คุณจะไม่สามารถได้รับการยอมรับจากสังคม และทีมงานของคุณได้เลย

การตัดสินใจของผู้นำต้องมองภาพรวมเป็นหลัก


" การตัดสินใจ "

     ถือว่าเป็นงานสำคัญของผู้นำ ซึ่งการตัดสินใจของผู้นำอาจจะนำผลของทีมงานไปสู่ความล้มเหลว หรือความสำเร็จได้เลยทีเีดียว

    แต่จะมีผู้นำสักกี่คนครับที่ตัดสินใจ โดยการมองภาพรวมเป็นหลัก โดยไม่ได้ตัดสินใจโดยใช้ความคิดของตนเองเป็นหลัก


     หากคุณจะฝึก " ภาวะผู้นำ "  คุณต้องฝึกการตัดสินใจโดยคำนึงถึงภาพมวลรวมเปรียบได้กับการนำ จิ๊กซอร์ ซึ่งเปรียบได้กับปัจจัยที่นำมาใ้ช้ในการตัดสินใจเมื่อ จิ๊กซอร์ตัวใดตัวหนึ่งไม่สามารถเข้ากับจิ๊กซอร์ตัวอื่นได้ ก็ต้องหาจิ๊กซอร์ตัวใหม่มาประกอบแทนเพื่อให้ต่อรวมกันได้อย่างสมบูรณ์ เกิดขึ้นเป็นผลลัพธ์ ที่สมบูรณ์ และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย

     " แล้วจะใช้อะไรเป็นปัจจัยในการตัดสินใจภาพรวม "   คงเป็นคำถามที่มีอยู่ในใจของคุณทุกคนว่าควรเริ่มอย่างไร ไม่ต้องห่วงครับผมมีคำตอบ ผมมั่นใจได้ว่าหากคุณนำปัจจัยที่ผม บอกนี้มาใช้ประกอบการตัดสินใจของคุณ คุณจะได้รับการยอมรับ เกิดความขัดแย้งเกิดขึ้นน้อยมาก แถมยังได้ใจพนักงานด้วย เรามาเริ่มกันเลยครับ

ผู้มีภาวะผู้นำ ต้องไม่เหมือนน้ำที่เต็มแก้ว


" ภาวะน้ำเต็มแก้ว "

     ภาวะนี้คุณอาจจะเคยได้ยิน และได้สัมผัสกันมาบ้างแล้ว ผมขออธิบาย ภาวะน้ำเต็มแก้ว ในทางด้านจิตวิทยาให้ทราบก็แล้วกันครับ

     " ภาวะน้ำเต็มแก้ว "  เป็นพฤติกรรรมที่เกิดกับบุคคลที่มีความมั่นใจในตนเองสูง และคิดว่าสิ่งที่ตนเองคิดหรือทำนั้น ถูกต้องแล้ว จนเกิดสภาวะปฏิเสธการเรียนรู้ การรับรู้ในจิตใจ ทำให้ไม่รับซึ่งการเรียนรู้ใด ๆ เพื่อการพัฒนาตนเอง

      ใช่ครับฟังดูชื่อของสภาวะนี้แล้ว แทบไม่น่าเชื่อว่ามันจะรุนแรงขนาดนี้  และที่สำคัญเป็นภาวะพฤติกรรมที่เิกิดขึ้นกับ ผู้ำนำกว่า 90% อีกด้วย

การดุ ด่า และตำหนิ ไม่ได้ช่วยให้มี ภาวะผู้นำ


"คุณเคยถูกเจ้านายคุณดุ ด่า ตำหนิ หรือไม่"

     คุณรู้สึกอย่างไรครับเวลาถูกด่า ตำหนิแบบแรงๆ  แน่นอนครับคุณไม่ชอบแน่ๆ

     คุณเคยสงสัยไหมว่า พฤติกรรมของผู้นำที่เน้นในเรื่องของการพูดตรงๆ แบบแรงๆ ด่า ตำหนินั้นมีประโยชน์ ในการสร้างภาวะผู้นำหรือไม่

      คำตอบ มันไม่ใช่พฤติกรรมที่ดีเลยครับในความเป็นผู้นำ

      จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยการจัดการใน สหรัฐอเมริกา พนักงานที่ถูกผู้นำที่ใช้อารมณ์ ดุ ด่า ตำหนินั้นมากกว่า 90% จะเกิดแรงต้านมากกว่า เกิดแรงผลักดันเพื่อให้เกิดการพัฒนาในงาน ซ้ำยิ่งไปกว่านั้นการทำงานหลังจากการถูก ตำหนิ หรือดุ ด่า นั้นจะเป็นการทำงานด้วยการประชด ประชัน ไม่ใช่ด้วยความเต็มใจ ทำให้งานที่ออกมาไม่มีประสิทธิภาพ

ผู้นำ ต้องทำตนให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้

" ผู้นำคือผู้ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ "   ผู้นำที่มี ภาวะผู้นำที่แท้จริงนั้น ต้องปฏิบัติตน วางบุคลิกเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ เข้าพบได้ โดยที่ผู้เข้าพบ รู้สึกถึงความเป็นมิตร อบอุ่นใจที่ได้เข้าพบกับผู้นำ                                  
       ในสังคมที่มีการแข่งขันในปัจจุบันนี้  ผู้นำย่อมก่อเกิดความเครียดเป็นธรรมดา ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบกับพนักงานที่ทำงานร่วมกับผู้นำทำให้ความเครียดเหล่านั้นถูกแสดงออกมาทางบุคลิกแบบต่างๆ เช่น  หน้าบึ้งเคร่งเครียดอยู่ในห้องคนเดียว    โกรธโมโหง่าย   เดินเข้าห้องทำงานโดยไม่ได้ทักทายกับพนักงาน   และอีกข้อหนึ่งที่มักจะพบบ่อยๆ ก็คือ หากพนักงานเข้าพบเพื่อขอคำชี้แนะบางอย่างมักไม่ค่อยได้รับความร่วมมือกับผู้นำคนนั้น เผลอๆ โดนถามเป็นข้อ ตอบไม่ได้ก็ถูกตำหนิ และถูกด่าอีกต่างหาก
 
       การแสดงพฤติกรรมเช่นนี้ของผู้นำ ซ้ำๆ ทุกวันจะเกิดเป็นพฤติกรรมติดตัว จนทำให้ผู้นำเป็นบุคคลที่สามารถเข้าถึงได้ยากมาก ซึ่งผลที่ตามมานั้นมันมากมาย ยกตัวอย่างเช่น หากผู้นำ พนักงานไม่สามารถเข้าถึงได้   พนักงานจะเข้าพบผู้นำระดับรองลงไปซึ่งสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่า  ปรึกษาปัญหาได้ทุกเรื่อง สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ผู้นำที่ปิดตัวเองจะเสื่อมความศรัทธา  บารมีก็จะไม่เกิด เพราะสิ่งที่พนักงานนึกถึงได้กับผู้นำที่ไม่สามารถเข้าถึงได้นั้น  เป็นความรู้สึกทางลบซึ่งหากเกิดขึ้นแล้วยากที่จะกู้กลับคืน
 

ผู้นำต้องให้ความสำคัญกับทุกคน


  " ผู้นำต้องให้ความเคารพ และเห็นคุณค่ากับทุกคน "

        ผู้นำต้องเห็นคุณค่า และเคารพกับคนทุกคน ทุกตำแหน่ง ตั้งแต่พนักงานในระดับต่ำสุด จนถึงสูงสุด โดยไม่แบ่งแยกความต่างชั้นของตำแหน่ง

        หากผู้นำมีการแบ่งแยกการปฏิบัติ โดยยึดถือว่าสิ่งที่ตนต้องได้รับจะต้องดีที่สุดเนื่องจากตนมีตำแหน่งหน้าที่การงานอยู่ในระดับสูง หรือในระดับบริหาร ผู้นำนั้นย่อมไม่ใช่ผู้นำที่แท้จริงที่จะประสบความสำเร็จได้  และไม่สามารถครองใจพนักงานทุกๆ คนได้ ทำให้ไม่เกิดการยอมรับอย่างแท้จริง  การปฏิบัติงานใดของพนักงานจะไม่ได้ทำด้วยใจ แต่่จะทำเพราะถูกบีบบังคับ และถูกกดดัน

          ผู้นำที่่ยิ่งใหญ่ของโลก ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดนั้น หากคุณพิจารณาดูบุคคลเหล่านั้นแล้วสิ่งเดียวที่เขามีอยู่แทบทุกคนก็คือ   1. การเห็นคุณค่าของทุกคน  2. ปฏิบัติตนนอบน้อมถ่อมตัวในทุกสถานการณ์

          เพื่อให้เห็นภาพอย่างชัดเจนมากขึ้นผมขอยกตัวอย่างบุคคลที่ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งครับ

ภาวะผู้นำคือการออกจากห้องขังทางใจของตนเอง



                       " ห้องขังทางใจ "

    ประโยคนี้คุณอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้ว หรือบางคนอาจจะยังไม่เคยได้ยิน และทำไมผมถึงต้องนำรูปของ ประธานาธิบดี  โอบาม่า ขึ้นมานำเสนอ
ทุกอย่างมีเหตุผลครับ แต่ก่อนอื่น ผมขออธิบายความหมายของ " ห้องขังทางใจ " ก่อน


      ห้องขังทางใจ ( Mental Prison )  เป็นความคิดทางด้านจิตใจ ที่สนองออกมาทางพฤติกรรมภายนอก และฝังในจิตใต้สำนึกหรือความนึกคิดของตนเอง โดยเข้าใจว่าสิ่งที่ตนทำ หรือความคิดของตนที่แสดงออกมานั้นถูกต้องแล้ว

      ซึ่งจะเกิดขึ้นกับบุคคลที่มีความมั่นใจมากๆ เมื่อเกิดความมั่นใจมากๆ ก็เหมือนกับน้ำที่เต็มแก้วอยู่ตลอดเวลา ห้องขังทางใจมักจะเกิดกับผู้บริหาร และผู้จัดการซึ่งเน้นในเรื่องของการสั่งการ และยึดถือตำแหน่งที่ตนสวมอยู่เป็นที่ตั้ง

อยากมีภาวะผู้นำต้องไม่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง


 " การยึดถือตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง "

      เป็นพฤติกรรม ที่่ผู้บริหาร หรือผู้จัดการที่คิดว่าตนเองเป็นผู้นำส่วนมากยึดถือปฏิบัติ ทั้งโดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตาม

      แต่ผมบอกได้ว่าเป็นพฤติกรรมที่ คุณหากจะฝึกให้มี " ภาวะผู้นำ "
แล้วไ่่ม่ควรยึดถือปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นคุณจะไม่สามารถเป็นผู้นำที่ถูกต้องได้เลย

      คุณอาจจะพบเจอพฤติกรรม "การยึดถือตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง" จากผู้นำของคุณ โดยผู้ที่ยึดถือตัวเองเป็นศูนย์กลางนั้น คือผู้ที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของตำแหน่ง หน้าที่ระดับสูงที่ตนได้ รับจนลืมคุณค่าของผู้ื่อื่น ซึ่งผมจะยกตัวอย่างให้คุณเห็นภาพที่ชัดเจน ดังต่อไปนี้

คุณต้องมีภาวะผู้นำ หากต้องการประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต



" ความสำเร็จ ไม่มีที่ว่างสำหรับผู้ตาม "

     คุณอาจจะเคยคุ้นกับประโยคนี้  ซึ่งมันเป็นความจริง 100% แน่นอนและจะเป็นอย่างนั้นไปตลอดกาล

    คุณไม่มีทางเลือก หากคุณต้องการสำเร็จสูงสุดในทุกๆ ด้านของชีวิตคุณต้องมี " ภาวะผู้นำ "  เท่านั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร  ประกอบอาชีพนักธุรกิจ  พนักงานบริษัท  นายแพทย์  นักการตลาด นักการ

เมือง วิศวกร ฯลฯ  หากคุณมี ภาวะผู้นำที่ถูกต้องอยู่ในตนเองแล้ว คุณจะเป็นผู้สำเร็จตลอดกาล 

     คุณจะสังเกตได้ว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตสูงสุดทั้งหมด ทั้งมวลในโลกนี้นั้นล้วนมีภาวะผู้นำอยู่ในตนเอง เช่น  คุณธานินทร์  จิระวนนท์   ผู้ที่ใช้ความเป็นผู้นำในตนเองจากธุรกิจเล็กๆ  สู่ธุรกิจนับแสนล้าน     วอเรน  บัฟเฟตต์  มหาเศรษฐีอันดับ 2 ของโลก  ใช้ภาวะผู้นำของตนเองจนมีทรัพย์สิน และธุรกิจนับแสนล้าน  เป็นต้น

แยกตำแหน่งอันสูงส่งออกจากภาวะผู้นำ เพราะมันคนละเรื่อง



หยุดสั่งการโดยใช้ตำแหน่งหน้าที่การงานของตนสักที ! หากคุณอยากเป็นผู้นำที่แท้จริง

     คุณรู้สึกอย่างไรหากผู้บริหารหรือผู้จัดการของคุณสั่งการโดยใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนเองสั่งการ


" ทำไมฉันถึงสั่งคุณไม่ได้สั่งเป็นผู้จัดการ "
" ถ้าคุณทำไม่ได้ก็ออกไป จะได้หาคนใหม่มาแทน"
" ฉันสั่งอะไรคุณต้องทำให้ได้ ทำได้ไหม "

       แน่นอนเมื่อคุณรับฟังประโยคดังกล่าวนี้แล้ว คุณต้องเกิดแรงต้านในใจ ใช่ไหมครับ การโน้มน้าวใจที่ผู้บริหารเหล่านี้ทำก็คือ พลังโน้มน้าวที่มาจากตำแหน่งหน้าที่อันสูงส่งที่เขามีอยู่นั่นเอง จนทำให้เขาลืมไปว่าเมื่อก่อนเขาเคยเป็นอะไรมาก่อน  เขาลืมความรู้สึกเหล่านั้นเสียสิ้น

      ผู้บังคับบัญชาที่ใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนในการกดดัน และบังคับให้พน้ักงานระดับล่างทำงาน เป็นสิ่งที่ผิดถนัด  โดยผู้บังคับบัญชาที่ใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนในการบริหาร เขาสามารถที่จะเป็นหัวหน้างานได้ แต่เขาไม่สามารถเป็น " ผู้นำ "  ได้เลย

คุณรู้ความหมายของ ภาวะผู้นำ หรือไม่


  ผู้บริหารหรือ ผู้จัดการโดยส่วนมากเกือบ 90% คิดว่าตนเมื่่อก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งนี้แล้ว เข้าใจว่าเขานั่นแหละคือผู้นำ

  มองกลับกันหากให้ผู้บริหารหรือ ผู้จัดการที่อ้างตนว่าเป็น "ผู้นำ" แล้วนั้นให้บอกความหมายของคำว่า ภาวะผู้นำ เขาสามารถบอกได้หรือไม่ว่าภาวะความเป็นผู้นำคืออะไร?


      แน่นอนครับเขาคงงงและคงจะตอบไม่ได้ เป็นแน่  ฉะนั้นก่อนที่ก้าวสู่ความเป็นผู้นำที่แท้จริงควรจะทราบถึงความหมายของคำว่า "ภาวะผู้นำเสียก่อน"

      ภาวะผู้นำ คือ  การที่บุคคลคนหนึ่่งได้มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม หรือการงานอันใดกับบุคคลอื่น และที่สำคัญคือ "ทำเพื่อคนอื่น" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความสำเร็จของส่วนรวมไม่ใช่ส่วนตน และเพื่อให้กลุ่มของตนนั้นมีการพัฒนาที่ดีขึ้น มีผลงานมากขึ้นนั่นเอง

เกี่ยวกับ ธวัชชัย ที่ปรึกษาด้านภาวะผู้นำ



สวัสดีครับทุกท่าน

      ผม ธวัชชัย สุวรรณสาร   เป็นคนเชียงใหม่โดยกำเนิด เำกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น มีชีวิตแบบปกติชนทั่วไป คือ เรียน เรียนจบก็ทำงานประจำ เหมือนประชาชนอีก 90% แน่นอนเราทำงานก็ต้องหวังความก้าวหน้า เป็นเจ้าคนนายคนกับขา อยากก้าวไปสู่ตำแหน่งผู้บริหาร ผู้จัดการ ซึ่งมันก็เป็นความฝันของคนทำงานประจำอย่างเราๆ เนื่องมาจากว่าการเลื่อนเป็นผู้บริหาร จะได้รับตำแหน่งที่มีศักดิ์ศรี มีหน้ามีตาในสังคม และที่สำคัญมีเงินเดือนมากขึ้น ที่จะเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง รวมถึงคนที่เรารักได้

         จากความทะเยอทะยานก้าวขึ้นสู่ที่สูงนี้เอง ก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่่องนี้ครับ

          ในการก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดนี่เองทำให้ผม ได้รับทราบเกี่ยวกับปัญหาทุกข์ใจผมตลอดมา ซึ่งก็มาจากการที่ผมได้รับใช้ผู้บริหาร ผู้จัดการทั้งหลายในการทำงานนั่นเอง

         โดยเฉพาะการวางตัวของผู้บริหาร และผู้จัดการทั้งหลายในองค์กรซึ่งส่วนมากจะมีลักษณะดังต่อไปนี้ครับ

         " วางตัวนิ่งๆ เฉยๆ อยู่ในห้อง อยู่ในอนาจักรของตนเอง ทำหน้าตาเคร่งเครียด"

         " ไม่พูดกับผู้ที่ำตำแหน่งต่ำกว่าโดยไม่จำเป็น จะต้องผ่านเลขาหน้าห้องเท่านั้น"